ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบจากนโยบายภาษีที่เคยถูกนำมาใช้ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
.
ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้มีการใช้มาตรการเก็บภาษีที่เข้มงวดต่อสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะสินค้าจากจีน ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความกังวลเกี่ยวกับการค้าขายที่ไม่ยุติธรรมและความไม่สมดุลทางการค้าที่เกิดขึ้น ประเทศต่าง ๆ ที่ถูกเก็บภาษีสูงขึ้นได้แก่ จีน ยุโรป และแคนาดา ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น
ผลลัพธ์ที่ตามมาจากนโยบายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สหรัฐฯ แต่ยังส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง เนื่องจากทำให้ราคาสินค้าในประเทศต่าง ๆ ปรับสูงขึ้น และการค้าระหว่างประเทศถูกจำกัด ทำให้องค์กรและธุรกิจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ทางเศรษฐกิจสั่นคลอน
โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทซัพพลายเชนที่ส่งออกและนำเข้าสินค้า มีความเสี่ยงที่จะต้องปรับลดกำลังการผลิตหรือลดจำนวนพนักงานลง เพื่อประคองสถานการณ์ทางการเงิน ธนาคารโลกและองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นหน่วยงานที่ออกมาเตือนว่า มาตรการภาษีนี้อาจจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19 ถูกทำให้ชะลอตัวลงไปอีก และอาจจะขยายความไม่แน่นอนในด้านการค้าโลก
สุดท้ายนี้ การเข้าใจถึงผลกระทบของนโยบายภาษีที่เกิดขึ้นในสมัยของทรัมป์จึงมีความสำคัญไม่เพียงแต่สำหรับสหรัฐฯ แต่รวมถึงประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายเหล่านี้ เราจึงควรติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
.
รู้หรือไม่? นโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร? มาลองเรียนรู้กันว่า ใครได้รับผลกระทบสูงสุด และทำไมการค้าโลกถึงมีความไม่แน่นอนมากขึ้น! คลิกอ่านเต็ม ๆ ที่นี่!
.