ย้อนกลับไปในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายต่ออิหร่านได้กระตุ้นการตั้งคำถามเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และวิธีการที่แตกต่างกันระหว่างผู้นำที่ผ่านมาบางคน รวมถึงความโง่เขลาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
.
ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับอิหร่าน มักเป็นจุดสนใจที่มีความเปราะบาง ความตึงเครียดเริ่มขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ซึ่งทำให้หลายประเทศรวมถึงพันธมิตรในยุโรปต้องตกใจ ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและลดความตึงเครียดในภูมิภาค แต่เมื่อทรัมป์ทำการถอนตัว การตอบโต้จากอิหร่านก็เริ่มปรากฏให้เห็นในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเพิ่มขีดความสามารถทางการทหาร ไปจนถึงการสนับสนุนกลุ่มกองกำลังในภูมิภาค
การเคลื่อนไหวของทรัมป์ที่ก้าวร้าวมักถูกมองว่ามีลักษณะที่ไม่รอบคอบ ซึ่งทำให้โอกาสในการเจรจาลดน้อยลง และนำไปสู่การเผชิญหน้าที่สูงขึ้น ความคิดที่ว่า ‘การทำให้คนกลัว’ อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหานั้น เป็นแนวทางที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงความสามารถในการบริหารจัดการความขัดแย้งในภูมิภาค การเปรียบเทียบกับวิธีการที่เคยใช้ในอดีตจากฝ่ายบริหารอื่น ๆ ทำให้เราเห็นว่าการเจรจาและการสร้างสันติภาพผ่านการพูดคุย อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากกว่า
อิหร่านไม่ใช่ประเทศที่สามารถยอมจำนนได้ง่าย ๆ และการที่สหรัฐอเมริกาเลือกที่จะใช้นโยบายที่ไม่ยืดหยุ่น มักทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนขึ้น เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการมองการณ์ไกลและมองอดีตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้นำประเทศในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์แห่งความผิดพลาดในอดีตอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่าในอนาคต
.
ทบทวนสถานการณ์ในตะวันออกกลาง เรื่องราวระหว่างอิหร่านและสหรัฐอเมริกาในสมัยทรัมป์ ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการจริงจังในการเจรจาทางการทูต! เพราะความขัดแย้งไม่ใช่ทางออกเสมอไป!
.